17. ทฤษฎีของ Chester Barnard
แนวคิด
Barnard เป็นนักทฤษฎีสมัยปัจจุบัน โดยเขาได้ศึกษาวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 แล้วนำมาเขียนหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” เป็น
หนังสือที่เกี่ยวกับการบริหารองค์การในสมัยปัจจุบัน
โดยเห็นว่าองค์การเป็นระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้
ภายในระบบดังกล่าวจะมีความเกี่ยวพันที่ประสานกันโดยมีเป้าหมายของการตอบสนอง
ความต้องการส่วนบุคคล และเห็นว่าบุคคลแต่ละคนองค์การ ผู้ขาย และลูกค้า
ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อม
หลักการ
1. เน้นความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
2. มีการกระจายความพึงพอใจของบุคลากรในองค์การออกไปอย่างเท่าเทียมกัน (The contribution satisfaction equilibrium) : โดยเห็นว่าการสื่อสารในองค์การเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างดุลภาพของความต้องการระหว่างบุคคลกับองค์การ (Inducement) เพื่อโน้มน้าวให้บุคคลทำงานด้วยความต้องการขององค์การ ในจุดที่องค์การต้องสร้างความพึงพอใจแก่บุคคลในการทำงานด้วย
3. นักบริหารมีหน้าที่สำคัญ คือ
- ดูแลติดต่อประสานงานภายในองค์การ
- รักษาสมาชิกภายในและชักจูงสมาชิกใหม่
- กำหนดเป้าหมายขององค์การ และตีความเพื่อแสดงให้สมาชิกในองค์การได้รับรู้
- ใช้ศิลปะเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
- ทำงานด้วยความรับผิดชอบ โดยใช้หลักของศีลธรรม
เครื่องมือนี้คืออะไร/ มีองค์ประกอบอะไร
ชื่อทฤษฎี : องค์การไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
เป็น
ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรม เป็นระบบความร่วมมือของมนุษย์ในการทำกิจกรรม
โดยเน้นปัจจัยสำคัญด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล
สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรบรรลุเป้าหมายจะทำให้เกิดความร่วมมือจากบุคลากร
โดยมุ่งองค์กรเป็นระบบการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย
1. ความสำคัญของพฤติกรรมมนุษย์ (Importance of individual behavior)
2. ทฤษฎีการให้ความร่วมมือของ Barnard (Barnard theory of compliance)
3. ทฤษฎีโครงสร้างขององค์การของ Barnard (Barnard theory of organization structure)
เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
ความคิดเห็นของ Barnard สามารถที่จะนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งในแง่ขององค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) และไม่เป็นทางการ (Informal Organization) ซึ่งผลงานที่สำคัญของ Barnard คือ Functions of the Executive 1938
จากตรรกะทางความคิดที่ว่า องค์การ คือ ระบบความร่วมมือ ดังนั้น
ถ้าจะนำองค์การให้บรรลุเป้าประสงค์ ผู้บริหารจัดการจะต้องทำหน้าที่ 3 ประการ คือ
1. การสร้างและการดำรงรักษาระบบการสื่อสาร
2. สร้างความมั่นใจด้านการบริการจากบุคลากรผู้เป็นสมาชิกองค์การ
กำหนดจุดประสงค์และเป้าหมาขององค์การ
ข้อดี |
ข้อเสีย
|
1. ก่อให้เกิดความร่วมมือ (cooperation)ในองค์การ
|
1. องค์การไม่เป็นทางการทำให้ยากต่อการควบคุม (สายการบังคับบัญชาไม่ชัดเจน)
|
2. การทำงานในองค์การเกิดประสิทธิภาพ
(Efficiency)
|
2. หากบุคลากรขาดทักษะด้านการสื่อสารส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการปฏิบัติงาน
|
3. บุคลากรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้
อย่างทั่วถึง (เน้นระบบการสื่อสาร)
| |
4. องค์การที่ไม่เป็นทางการทำให้การบริหารองค์การ
มีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่น (Flexibility)
| |
5. บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
|
ใช้อย่างไร (หรือจัดทำอย่างไร)
ทฤษฎีของ Barnard เป็นทฤษฎีการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรม Barnard ได้กล่าวถึงหน้าที่ สิ่งที่กระตุ้นจูงใจ (Authority and incentives) เกี่ยวกับบริบทระบบการสื่อสารในองค์กร คือ
1. ช่องทางการสื่อสารต้องกำหนดขอบเขตให้แน่นอน
2. บุคลากรทุกคนต้องรู้ช่องทางการสื่อสาร
3. บุคลากรทุกคนต้องสามารถเข้าถึงช่องทางการสื่อสาร
ที่เป็นทางการ
4. สายบังคับบัญชาการสื่อสารต้องสั้นและตรงให้มากที่สุด
5. บุคลากรต้องมีศักยภาพเพียงพอสำหรับการสื่อสาร
6. ต้องไม่มีอุปสรรคในสายบังคับบัญชาการสื่อสาร
เมื่อองค์การปฏิบัติงาน
7. การสื่อสารทุกรูปแบบต้องเกิดผลน่าเชื่อถือ
มีใครนำเครื่องมือนี้ไปใช้บ้าง และได้ผลสรุปอย่างไร
ทั้ง
องค์กรภาครัฐและเอกชน
ที่ต้องการสร้างระบบความร่วมมือขึ้นระหว่างองค์การกับคน
และองค์การกับสภาพแวดล้อม และจูงใจพนักงานให้ร่วมมือกันทำงาน
รวมถึงการสร้างดุลยภาพระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น